
ทีมงาน Life & Family Manager Online ได้รวบรวมเคล็ดลับ "การกินอย่างไรไม่ให้อ้วน และไม่แก่" จาก พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และผู้เขียนหนังสือ 188 เคล็ดลับชะลอวัย มาฝากกัน ดังนี้
ยิ่งกิน ยิ่งผอม
เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงสงสัยว่า ยิ่งกินยิ่งผอม เป็นไปได้จริงหรือ ในเรื่องนี้ คุณหมอผิงให้คำตอบว่า เป็นไปได้ ด้วยการรับประทานอาหารเช้าทุกวัน ซึ่งต้องไม่เกิน 3 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน การเริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้ามื้อใหญ่นั้น เป็นการ kick start หรือจุดหัวเทียนระบบเมแทบอลิซึมให้ร่างกาย หากเราไม่รับประทานอาหารเช้า ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายจะทำงานได้ไม่ดี เหมือนมอเตอร์ไซค์ที่หัวเทียนบอด ส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อย หิวทั้งวัน สิ่งที่ตามมาคือ ความอ้วน
"อาหารเช้าที่ดี ควรประกอบด้วยโปรตีนเป็นหลัก เช่น ไข่ขาว ถั่ว หรือเนื้อสัตว์ไขมันต่ำอย่างปลา หรือสัตว์ปีกไม่ติดหนัง ตามด้วยแป้งเชิงซ้อน หรือ low glycemic index food เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง ซีเรียลโฮลเกรน และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ผัก ผลไม้เพื่อเติมสารต้านอนุมูลอิสระไว้ใช้ระหว่างวัน และเปลี่ยนจากดื่มกาแฟเป็นชาเขียวร้อน ๆ สักถ้วย จะเป็นการเริ่มต้น Perfect Anti-aging Day อย่างแท้จริงค่ะ" ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัยให้คำแนะนำ
กินให้อิ่ม..แต่น้อย
เคล็ดลับต่อมาคือ การกินเพื่อสุขภาพ และหน้าตาสดใสอ่อนเยาว์ ซึ่งคุณหมอคนเดียวกันนี้ แนะนำว่า การกินให้อิ่มแต่น้อย เพื่ออยู่อีกนาน บางคนมักเข้าใจผิดว่า รับประทานมาก แต่ออกกำลังกายมากตามไปด้วย จะได้ไม่อ้วนและไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ
แต่ในความจริงแล้ว การรับประทานมากเกินความต้องการของร่างกาย แม้จะมีการเผาผลาญพลังงานออกไป แต่อาจก่อให้เกิดของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ในร่างกายมากเกินจำเป็น โดยตัวอนุมูลอิสระนี้เอง คือตัวการทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของอวัยวะต่าง ๆ และสัมพันธ์กับโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรามากมาย ดังนั้น การรับประทานช้า ๆ คอยประเมินสภาพความหนาแน่นของอาหารในกระเพาะเป็นระยะ และหยุดเมื่อรู้สึกอิ่มประมาณ 80 เปอร์เซ็นของท้อง จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีแบบชะลอวัยได้ไม่ยาก
กินแบบ "หมีอะแลสกา"
เทคนิคนี้ คุณหมอผิง ให้ความกระจ่างว่า หมีอะแลสกา เป็นหมีตัวโตที่อาศัยอยู่ในแถวขั้วโลก ซึ่งพบว่า เจ้าหมีตัวนี้เป็นสัตว์กินได้ทั้งพืช และสัตว์ โดยอาหารที่หมีนิยมกินก็คือ ปลาแซลมอน ต้นอ่อนพืชผักต่าง ๆ รวมไปถึงผลเบอรี่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะกินแต่ของที่ดี มีประโยชน์แทบทั้งนั้น ซึ่งสามารถนำมาเชื่อมโยงกับการรับประทานของเราได้เป็นอย่างดี
เริ่มต้นจากปลา พยายามทานปลาให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะปลาแซลมอน เพราะนอกจากจะให้โปรตีนอิ่มสบายพุงแล้ว ยังให้ไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ซึ่งไปช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี คือ LDL Cholesterol และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี คือ HDL Cholesterol ได้ ยิ่งไปกว่านั้น กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีคุณสมบัติเป็นอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ส่งผลช่วยชะลอความเสื่อมตามวัยของร่างกายอีกด้วย อย่างไรก็ดี นอกจากปลาแซลมอนแล้ว อาจเลือกรับประทานเป็นปลาฮาลิบัต ทูน่า ซาร์ดีน หรือปลาทู สลับกันไปบ้างก็ได้
ภาพประกอบ credit : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=354257
ขณะเดียวกัน ควรเตือนตัวเองให้รับประทานผลไม้เป็นประจำทุกวัน อย่างหมีอะแลสกามักจะทานผลเบอร์รี่ ซึ่งจัดเป็นผลดีเด่นทางด้านการต้านอนุมูลอิสระ นอกจากเบอร์รี่แล้ว ยังมีพรุน แพร์ แอปเปิ้ล ฝรั่ง ทับทิมรวมอยู่ในกลุ่มผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีน้ำตาลไม่มาก ดังนั้นในแต่ละวันควรถือเอาการรับประทานผลไม้ทดแทนขนมหวานไปเลยก็ได้
นอกจากผลไม้แล้ว ผัก และบรรดาต้นอ่อนของพืชผักต่าง ๆ เช่น ถั่วงอก ถั่วงอกหัวโต ต้นอ่อนบรอกโคลี เป็นต้น ก็มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ควรเลือกหามาดัดแปลงกับเมนูจานโปรดของคุณก็ดูน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
สำหรับบ้านที่ใช้หลักลดอาหารเพื่อสุขภาพด้วยการรับประทานมังสวิรัติ ในส่วนนี้ คุณหมอผิงบอกว่า อาจมีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามิน บี 12 ได้สูงกว่าคนรับประทานอาหารทั่วไป เพราะวิตามินชนิดนี้มีแหล่งที่มาจากเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อขาดไปแล้ว จะทำให้ร่างกายเกิดอาการอ่อนเพลีย และไม่มีแรง นั่นเพราะขาดวิตามินบี 12 โดยไม่รู้ตัว
"อาหารมังสวิรัติ ทานได้นะ แต่เราต้องหาแหล่งโปรตีนจากพืชทดแทน เช่น เต้าหู้ ถั่วเหลือง ไม่ควรเน้นแป้งเป็นหลัก แต่ต้องมีผัก และโปรตีน ที่สำคัญสำหรับคนทานมังสวิรัติเคร่ง ๆ เรื่องของวิตามินบี 12 ถ้าไม่แน่ใจว่าขาดหรือไม่ แนะนำให้ไปเจาะเลือดตรวจดู เพราะส่วนใหญ่จะขาดวิตามินตัวนี้ หรืออาจหาวิตามินบี 12 ชนิดเม็ดมาทานเสริมทดแทนก็ได้" คุณหมอผิงแนะนำ
เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติด้วยตัวเองที่บ้าน แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมเรื่องการออกกำลังกายด้วย โดยคุณหมอผิง แนะนำว่า ในแต่ละวันควรเดินบ่อย ๆ ไม่ควรนั่งอยู่กับที่ตลอดวัน อย่างน้อยควรเดินให้ครบ 10,000 ก้าวต่อวัน เพราะมีงานวิจัยพบว่า การเดินตามจำนวนก้าวข้างต้น เทียบเท่ากับการออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาที หรือถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ พยายามเดินขึ้นบันได หรือจอดรถไกล ๆ เพื่อที่จะได้ออกกำลังขาและย่อยอาหารไปในตัวด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้น อย่าลืมดูแลเรื่องสภาวะจิตใจของตัวเราเองด้วย เริ่มจากพยายามนอนให้ถึง 8 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการออกงานปาร์ตี้และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ถี่เกินไป เหล่านี้เป็นตัวก่ออนุมูลอิสระ ทำให้แก่เร็ว นอกจากนี้ พยายามอย่าให้เครียดบ่อย ๆ เพราะความเครียดทำให้คอลลาเจนถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดริ้วรอย และผมหงอกด้วย วิธีลดความเครียดง่าย ๆ คือ การนั่งสมาธิให้ได้ประมาณ 15-30 นาทีเป็นอย่างต่ำทุกวัน
ที่มา : website ASTV Life & Family Manager Online 15 กันยายน 2554